ขายด่วน Marantz SR-4400 พร้อมใช้คับ ราคา 9800โทร085-1210194
โดย lert
ปรับปรุงล่าสุดเมื่อ 5 ก.ค. 2555.
โดย "การุณชาติ พุกกะเวส"
Marantz ถือได้ว่าเป็นเอ/วี รีซีฟเวอร์ที่มีความเป็นกลางสูงมาก ดูหนังดี ฟังเพลงสบาย ไม่มีความหยาบกร้าน หรือแข็งแห้งเจือปนเลยสำหรับยี่ห้อนี้ ใครที่หมายปองเครื่องที่ใช้งานได้ทั้ง 2 ด้าน ควรพิจารณาเป็นพิเศษครับ
หลังจากรุ่นที่ลงท้ายด้วยเลข 200 ได้เข้ามาทำตลาดหลายปีก่อน คือ SR-4200, SR-5200, SR-6200, SR-7200 และ SR-9200 ผมได้ทดสอบไปแล้วบางรุ่น ต่อมามีการปรับเปลี่ยนในบางจุด แล้วใช้เลขลงท้ายด้วยรุ่น 300 คือ SR-4300, SR-5300, SR-6300, SR-7300 ผมเองเคยลองรุ่น SR-6300 ไปแล้ว แต่ไม่ได้ตีพิมพ์ ซึ่งประทับใจให้ผมมาก ตอกย้ำคุณภาพเสียงของยี่ห้อ Marantz ได้เป็นอย่างดี
ล่าสุดปรับเปลี่ยนอีกรอบ คราวนี้ลงท้ายด้วยเลข 400 เสมือนว่าเป็นรุ่นปี 2004 ประมาณนั้น บ้านเราตอนนี้จะเป็นรุ่น SR-4400, SR-5400, SR-6400, SR-7400
แต่ละรุ่นก็จะมีหน้าตา, คุณสมบัติพิเศษอื่น ๆ ที่ต่างกันออกไปบ้าง และที่หลายท่านน่าจะถูกใจ คือ ราคาถูกลงกว่าเดิมแต่มีลูกเล่นมากกว่าเดิมอีกด้วย ส่วนจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร คือ SR-6400 และ SR-7400 สามารถอัพเกรดได้ด้วยช่องต่อ RS-232 ซึ่งคงต้องสอบถามตัวแทนจำหน่ายในรายละเอียดจุดนี้
สำหรับรุ่นที่ได้รับมาในครั้งนี้คือ SR-4400 น้องนุชสุดท้อง ที่กำลังขับอาจไม่สูงนัก แต่ก็เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป เหมาะกับผู้เริ่มต้น ด้วยมีค่าตัวเพียง หมื่นครึ่งเท่านั้น!! มาดูกันครับว่าเมื่อมีราคาถูกจะเหลือคุณภาพให้สัมผัสมากน้อยเพียงใด
คุณสมบัติพิเศษ
ให้กำลังขับแยกอิสระ Discrete 80 วัตต์ x 6 แชนแนล
ถอดรหัส Dolby Digital EX, Dolby Pro-logic II และ dts-ES (Discrete, Matrix, Neo)
ภาคถอดรหัส 24 Bit /96 Khz ทุกแชนแนล
มีปุ่ม Source Direct เพื่อความบริสุทธิ์ของเสียง
ดับไฟหน้าปัดได้
สายไฟเอซีถอดได้ IEC
รองรับ 6 Channel Input-Output ครบครัน
น๊อตชุบทองแดง ช่วยลดคลื่นรบกวน
เน้นการใช้งานที่ง่ายไว้ก่อน
ตั้งสถานีในหน่วยความจำได้ 30 สถานี
หน้าตาของ Marantz SR-4400 นั้นแทบจะเหมือนรุ่นเดิมไม่ผิดเพี้ยน จะต่างกันก็ตรงหน้าที่ของปุ่มบางปุ่ม เป็นต้น
ตัวเครื่องสีทองแชมเปญ แผงหน้าปัดเมื่อหันหน้าเข้าหาตัวเครื่อง มุมซ้ายบนจะเป็นป้ายชื่อยี่ห้อ Marantz พร้อมชื่อรุ่น SR-4400 ถัดลงด้านล่างเป็นปุ่มหมุนทรงกลมขนาดใหญ่ทำหน้าที่ เลือกเวียนระบบเสียงในโหมดเซอร์ราวด์ (Auto, stereo, Dolby Pro logic II (Movie / Music), Dolby Pro logic, NEO:6 (Cinema / Music), M-CH Stereo, CS II (Cinema / music / mono), Virtual, Movie, Hall, Stadium, Matrix) ล่างสุดจะเป็นปุ่มเปิด / ปิด / รอพร้อมใช้ (Stand-by) มีไฟสีแดงโชว์ด้วย เยื้องไปทางขวาเป็นรูเสียบหูฟัง (เมื่อเสียบจะไม่มีเสียงออกลำโพงอัตโนมัติ)
ตรงกลางเป็นหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ทั้งใหญ่พอประมาณ ตัวอักษรในจอใช้สีขาวอ่อนเย็นตา เป็นแบบจุดไข่ปลา แต่ถ้าเป็นเครื่องหมายระบบเสียงและอื่น ๆ จะเป็นขีดเป็นข้อความไปเลย บอกผลการทำงานครบครัน ทั้งระบบเสียงที่ใช้, ลำโพงคู่ที่ใช้งาน, โหมด DSP, ช่องแหล่งโปรแกรมที่ใช้ เป็นต้น
ใต้จอจะเป็นปุ่มสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก 6 ปุ่ม วางแนวนอน เกี่ยวกับการเล่นวิทยุ ด้านล่างถัดลงไปเป็นปุ่มกลม 5 ปุ่ม ทำหน้าที่ A/D เลือกรับสัญญาณเข้าแบบอนาลอกหรือดิจิตอล, HT EQ เลือกลดความกระด้างเวลาดูหนังเลือก (On / Off), S-direct ต่อตรงไม่ผ่านวงจรใด ๆ (ตัดภาคTone Control และ Bass Management ออก), Display สามารถหรี่ และดับไฟหน้าปัดได้ เพิ่มมิติเสียงที่ดี (ไฟเข้ม-ไฟอ่อน-ไฟดับ) และปุ่ม Mute ตัดเสียงไม่ให้ออกลำโพง (On / Off)
ล่างสุดเป็นปุ่มกดสี่เหลี่ยม 9 ปุ่ม เลือกแหล่งโปรแกรมต่าง ๆ เช่น 6.1 CH-In, TV, DVD, VCR1, DSS/VCR2, CD-R/MD, Tape, CD และ Tuner
มุมขวาของจอแสดงผลจะเป็นปุ่มหมุนขนาดเดียวกับด้านซ้ายที่เลือกระบบเสียง แต่ด้านขวานี้คือ ปุ่มเร่ง-ลดระดับเสียง (ตั้งแต่ -71 ถึง +13) ด้านล่างจะเป็นโลโก้ของระบบเสียง Circle Surround II, Dolby Pro logic II และ dts-ES
แผงหน้าปัดนั้น เป็นแถบสี่เหลี่ยมเรียบทั้งแผ่นเลย ไม่ได้แบ่งเป็น 2 หรือ 3 ส่วน แต่ก็ไม่ดูเทอะทะประการใด
ด้านหลังไล่จากซ้ายไปขวามือ เริ่มต้นเป็นช่องเสียบเสาอากาศภาควิทยุ ด้านล่างสุดเป็นช่องรับสัญญาณดิจิตอลแบบ Optical 3 ช่อง แบ่งเป็นขาออก 1 ช่อง และขาเข้า 2 ช่อง (ช่อง 1,2) และแบบ Coaxial 3 ช่อง แบ่งเป็นขาออก 1 ช่อง และขาเข้า 2 ช่อง (ช่อง 3,4) ถือว่าเหลือเฟือเลย ใกล้ ๆ กันเป็นช่อง Remote In / Out 1 ชุด
ต่อมาด้านบนเป็นช่องรับสัญญาณภาพแบบ Composite (TV, DVD, VCR1, DSS/VCR2, Monitor Out) ด้านล่างเป็นช่องรับสัญญาณเสียง (TV, DVD, VCR1, DSS/VCR2, CD-R/MD, Tape, CD) บางช่องมีจ่ายสัญญาณออกด้วย
ถัดมาทางขวาจะเป็นช่องรับสัญญาณภาพเข้าแบบ S-Video จำนวน 2 ช่อง DVD, VCR1 และจ่ายออก 2 ช่อง คือ VCR1 และ Monitor Out
ด้านล่างของช่องต่อ S-Video จะมีช่องรับสัญญาณเข้าแบบอาร์ซีเอ 7 อันสำหรับต่อช่อง 6.1 CH Input ถัดไปเป็นภาคปรีเอ้าท์ ทั้ง 7 แชนแนล (คู่หน้าซ้าย-ขวา, คู่หลังซ้าย-ขวา, เซ็นเตอร์, ซับวูฟเฟอร์ และเซอร์ราวเซ็นเตอร์) เพื่อเพิ่มเพาเวอร์แอมป์ภายนอกในยามที่ต้องการกำลังขับสูงกว่า ซึ่งจัดเป็นบริเวณเดียวกันถือว่าสะดวกมาก
ถัดไป Inlet หรือช่องเสียบสายไฟเอซีที่สามารถถอดได้แบบ IEC แต่มี 2 ขา สามารถอัพเกรดคุณภาพเสียงด้วยสายไฟเอซีคุณภาพดีได้ทันที ไม่ต้องโมดิฟายใด ๆ ขณะที่รุ่นสูงอย่าง SR-5400 / 6400 ยังเป็นแบบติดตาย ถอดไม่ได้ด้วย
ขั้วต่อลำโพงจะอยู่ด้านล่างสุดตรงกึ่งกลาง เป็นแบบบิดขัน จัดวางแบบเรียงแนวนอน (โดยส่วนตัว ผมเองชอบแบบแนวตั้งมากกว่า) รองรับเฉพาะขั้วต่อบานาน่าปลั๊กกับสายเปลือยเท่านั้น มีภาคขยายสำหรับแชนแนลที่ 6 มาพร้อมสรรพ การต่อต้องดูให้ดีก่อนครับ
ด้านบนมีช่องระบายความร้อนอยู่เต็มพื้นที่ รวมทั้งด้านข้างทั้ง 2 ด้านด้วย แต่ตลอดเวลาที่ใช้ทั้งเปิดแอร์ และไม่เปิดแอร์ ผมลองเอามือไปแตะดูก็ไม่พบว่าจะร้อนมากแต่อย่างใดแค่อุ่น ๆ เท่านั้น ในคู่มือแนะนำว่าควรมีพื้นที่รอบ ๆ ด้าน ประมาณ 8 นิ้ว เป็นอย่างน้อย
ขายางชุบทองด้วยเช่นกัน น๊อตยึดจุดต่าง ๆ ของตัวเครื่องเคลือบทองแดง เช่นเดียวกับฐานเครื่อง นัยว่าเพื่อลดการรบกวนได้ดีกว่า
รีโมทคอนโทรลทรงยาว และแบน ขนาดกระชับมือ สีดำ ปุ่มกดขนาดกำลังดี ใช้งานง่ายมาก ไม่สับสน
โดย "การุณชาติ พุกกะเวส"
Marantz ถือได้ว่าเป็นเอ/วี รีซีฟเวอร์ที่มีความเป็นกลางสูงมาก ดูหนังดี ฟังเพลงสบาย ไม่มีความหยาบกร้าน หรือแข็งแห้งเจือปนเลยสำหรับยี่ห้อนี้ ใครที่หมายปองเครื่องที่ใช้งานได้ทั้ง 2 ด้าน ควรพิจารณาเป็นพิเศษครับ
หลังจากรุ่นที่ลงท้ายด้วยเลข 200 ได้เข้ามาทำตลาดหลายปีก่อน คือ SR-4200, SR-5200, SR-6200, SR-7200 และ SR-9200 ผมได้ทดสอบไปแล้วบางรุ่น ต่อมามีการปรับเปลี่ยนในบางจุด แล้วใช้เลขลงท้ายด้วยรุ่น 300 คือ SR-4300, SR-5300, SR-6300, SR-7300 ผมเองเคยลองรุ่น SR-6300 ไปแล้ว แต่ไม่ได้ตีพิมพ์ ซึ่งประทับใจให้ผมมาก ตอกย้ำคุณภาพเสียงของยี่ห้อ Marantz ได้เป็นอย่างดี
ล่าสุดปรับเปลี่ยนอีกรอบ คราวนี้ลงท้ายด้วยเลข 400 เสมือนว่าเป็นรุ่นปี 2004 ประมาณนั้น บ้านเราตอนนี้จะเป็นรุ่น SR-4400, SR-5400, SR-6400, SR-7400
แต่ละรุ่นก็จะมีหน้าตา, คุณสมบัติพิเศษอื่น ๆ ที่ต่างกันออกไปบ้าง และที่หลายท่านน่าจะถูกใจ คือ ราคาถูกลงกว่าเดิมแต่มีลูกเล่นมากกว่าเดิมอีกด้วย ส่วนจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร คือ SR-6400 และ SR-7400 สามารถอัพเกรดได้ด้วยช่องต่อ RS-232 ซึ่งคงต้องสอบถามตัวแทนจำหน่ายในรายละเอียดจุดนี้
สำหรับรุ่นที่ได้รับมาในครั้งนี้คือ SR-4400 น้องนุชสุดท้อง ที่กำลังขับอาจไม่สูงนัก แต่ก็เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป เหมาะกับผู้เริ่มต้น ด้วยมีค่าตัวเพียง หมื่นครึ่งเท่านั้น!! มาดูกันครับว่าเมื่อมีราคาถูกจะเหลือคุณภาพให้สัมผัสมากน้อยเพียงใด
คุณสมบัติพิเศษ
ให้กำลังขับแยกอิสระ Discrete 80 วัตต์ x 6 แชนแนล
ถอดรหัส Dolby Digital EX, Dolby Pro-logic II และ dts-ES (Discrete, Matrix, Neo)
ภาคถอดรหัส 24 Bit /96 Khz ทุกแชนแนล
มีปุ่ม Source Direct เพื่อความบริสุทธิ์ของเสียง
ดับไฟหน้าปัดได้
สายไฟเอซีถอดได้ IEC
รองรับ 6 Channel Input-Output ครบครัน
น๊อตชุบทองแดง ช่วยลดคลื่นรบกวน
เน้นการใช้งานที่ง่ายไว้ก่อน
ตั้งสถานีในหน่วยความจำได้ 30 สถานี
หน้าตาของ Marantz SR-4400 นั้นแทบจะเหมือนรุ่นเดิมไม่ผิดเพี้ยน จะต่างกันก็ตรงหน้าที่ของปุ่มบางปุ่ม เป็นต้น
ตัวเครื่องสีทองแชมเปญ แผงหน้าปัดเมื่อหันหน้าเข้าหาตัวเครื่อง มุมซ้ายบนจะเป็นป้ายชื่อยี่ห้อ Marantz พร้อมชื่อรุ่น SR-4400 ถัดลงด้านล่างเป็นปุ่มหมุนทรงกลมขนาดใหญ่ทำหน้าที่ เลือกเวียนระบบเสียงในโหมดเซอร์ราวด์ (Auto, stereo, Dolby Pro logic II (Movie / Music), Dolby Pro logic, NEO:6 (Cinema / Music), M-CH Stereo, CS II (Cinema / music / mono), Virtual, Movie, Hall, Stadium, Matrix) ล่างสุดจะเป็นปุ่มเปิด / ปิด / รอพร้อมใช้ (Stand-by) มีไฟสีแดงโชว์ด้วย เยื้องไปทางขวาเป็นรูเสียบหูฟัง (เมื่อเสียบจะไม่มีเสียงออกลำโพงอัตโนมัติ)
ตรงกลางเป็นหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ทั้งใหญ่พอประมาณ ตัวอักษรในจอใช้สีขาวอ่อนเย็นตา เป็นแบบจุดไข่ปลา แต่ถ้าเป็นเครื่องหมายระบบเสียงและอื่น ๆ จะเป็นขีดเป็นข้อความไปเลย บอกผลการทำงานครบครัน ทั้งระบบเสียงที่ใช้, ลำโพงคู่ที่ใช้งาน, โหมด DSP, ช่องแหล่งโปรแกรมที่ใช้ เป็นต้น
ใต้จอจะเป็นปุ่มสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็ก 6 ปุ่ม วางแนวนอน เกี่ยวกับการเล่นวิทยุ ด้านล่างถัดลงไปเป็นปุ่มกลม 5 ปุ่ม ทำหน้าที่ A/D เลือกรับสัญญาณเข้าแบบอนาลอกหรือดิจิตอล, HT EQ เลือกลดความกระด้างเวลาดูหนังเลือก (On / Off), S-direct ต่อตรงไม่ผ่านวงจรใด ๆ (ตัดภาคTone Control และ Bass Management ออก), Display สามารถหรี่ และดับไฟหน้าปัดได้ เพิ่มมิติเสียงที่ดี (ไฟเข้ม-ไฟอ่อน-ไฟดับ) และปุ่ม Mute ตัดเสียงไม่ให้ออกลำโพง (On / Off)
ล่างสุดเป็นปุ่มกดสี่เหลี่ยม 9 ปุ่ม เลือกแหล่งโปรแกรมต่าง ๆ เช่น 6.1 CH-In, TV, DVD, VCR1, DSS/VCR2, CD-R/MD, Tape, CD และ Tuner
มุมขวาของจอแสดงผลจะเป็นปุ่มหมุนขนาดเดียวกับด้านซ้ายที่เลือกระบบเสียง แต่ด้านขวานี้คือ ปุ่มเร่ง-ลดระดับเสียง (ตั้งแต่ -71 ถึง +13) ด้านล่างจะเป็นโลโก้ของระบบเสียง Circle Surround II, Dolby Pro logic II และ dts-ES
แผงหน้าปัดนั้น เป็
ราคา: | 9,800 | ต้องการ: | ขาย |
ติดต่อ: | lert
| อีเมล์: | |
สภาพ: | มือสอง
| จังหวัด: | กรุงเทพมหานคร |
| | | |
โทรศัพย์: | 085-1210194 | |
มือถือ: | - | |
|
ประกาศอื่นๆในหมวดหมู่เดียวกัน 20 รายการ (แสดงทั้งหมด)
หน้า แสดง - จากทั้งหมด 3599 ประกาศ
|
|
|
2500 |
|
|
|
**** |
|
|
|
**** |
|
|
|
12,000 |
|
|
|
18,000 |
|
|
|
1,290 บาท |
|
|
|
12,500 |
|
|
|
7,500 บาท |
|
|
|
180 บาท |
|
|
|
300 บาท |
|
|
|
13,500 |
|
|
|
3,000 |
|
|
|
xxxx |
|
|
|
850 บาท |
|
|
|
13,500 บาท |
|
|
|
xxx |
|
|
|
31,000 บาท |
|
|
|
1,000 บาท |
|
|
|
3,500 บาท |
|
|
|
21,000 |